เมนู

เว้นในสกุลนั้น แล้วพึงเที่ยวแสวงหาอาหารในเรือน
นั้น บุคคลเข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะหรือโภชนะ
แล้ว พึงรู้จักประมาณบริโภคแต่พอควร และไม่พึง
ใส่ใจในรูปหญิง.

[1776] เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลซึ่งการตั้งคอกโค
ร้านขายสุรา คนเกเร ที่ประชุมและขุมทรัพย์ทั้งหลาย
เหมือนบุคคลผู้ไปด้วยยาน เว้นหนทางอันไม่ราบเรียบ
ฉะนั้น.

จบจุลลนารทกัสสปชาดกที่ 4

อรรถกถาจุลลนารทกัสสปชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภการประเล้าประโลมของสาวเทื้อ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า น เต กฏฺฐานิ ภินฺนานิ ดังนี้.
เล่ากันมาว่า ธิดาของสกุลชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่ง มีอายุประมาณ
15-16 ปี เป็นหญิงมีรูปเลอโฉม แต่ไม่มีใครสู่ขอนาง. ลำดับนั้น มารดา
ของนางคิดว่า ธิดาของเราเป็นสาวแล้ว แต่ไม่มีใครสู่ขอนางเลย เราต้องใช้
นางล่อประเล้าประโลมภิกษุของพระศากยะรูปหนึ่ง เหมือนล่อปลาด้วยเหยื่อ
ให้สึกเสียจนได้ แล้วจักอาศัยเธอเลี้ยงชีพ. ครั้งนั้น กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถี
ผู้หนึ่ง บวชถวายชีวิตในพระศาสนา ตั้งแต่กาลที่อุปสมบทแล้ว ก็ละทิ้ง

สิกขาบท เกียจคร้าน มัวแต่ประดับสรีระอยู่. มหาอุบาสิกาจัดแจงยาคูและ
ข้าว ขาทนียโภชนียะไว้ในเรือน ยืนที่ประตูเรือนใคร่ครวญบรรดาภิกษุที่
พากันเดินไปในระหว่างถนนสักรูปหนึ่ง ซึ่งมีท่าทางที่นางสามารถจะเกี้ยวได้
ด้วยรสตัณหา เมื่อขบวนพระผู้ทรงพระไตรปิEก ผู้ทรงพระอภิธรรม ผู้ทรง
พระวินัย พากันเดินไปกับบริวารเป็นอันมาก ก็ยังไม่เห็นรูปไร ๆ ในกลุ่มที่
พอจะเกาะไว้ได้ ในกลุ่มแห่งพระธรรมกถึกผู้กล่าวธรรมไพเราะก็ดี ในกลุ่ม
แห่งพระผู้สมาทานปิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เช่นกับวลาหกอันกระจายฝอยก็ดี
ผู้เดินไปภายหลังแห่งภิกษุกลุ่มนั้น ก็คงยังไม่เห็นสักรูปหนึ่งเลย ครั้นเห็น
ภิกษุรูปหนึ่งหยอดยาตาจนถึงขอบตา นุ่งอันตรวาสกทำด้วยผ้าทุกูลพัสตร์
ห่มจีวรเนื้อเกลี้ยงเป็นมันระยับ ประคองบาตรสีเหมือนแก้วมณี กั้นร่มอัน
ชวนใจให้ยินดี ปล่อยอินทรีย์ร่างกายล่ำสันอันใหญ่โตกำลังเดินมา คิดว่า
เราอาจเกี้ยวภิกษุนี้ได้ จึงเดินไปไหว้รับบาตร กล่าวว่า นิมนต์มาเถิดเจ้าข้า
พามาเรือนให้นั่งแล้วเลี้ยงดูด้วยข้าวยาคูเป็นต้น กล่าวกะภิกษุนั้น ผู้ฉันเสร็จว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ตั้งแต่บัดนี้ไป พระคุณเจ้าพึงมาที่นี้เท่านั้นนะเจ้าคะ
ตั้งแต่นั้น ภิกษุนั้นก็ไปบ้านนั้นเป็นประจำ ต่อมาได้คุ้นเคยกัน.
อยู่มาวันหนึ่ง มหาอุบาสิกายืนอยู่ในระยะพอที่เธอจะได้ยิน กล่าวว่า
ในเรือนนี้มีเครื่องอุปโภคบริโภคพอประมาณ แต่ลูกชายหรือลูกเขยอย่างนั้น ที่
สามารถจะตรวจตราเหย้าเรือนไม่มีเลย เธอฟังคำของนาง คิดว่า นางพูดเพื่อ
ประโยชน์อะไรเล่านะ ได้เป็นเหมือนถูกเจาะที่หัวใจเข้าไปหน่อย. นางกล่าวกะ
ธิดาว่าเจ้าจงยั่วยวนภิกษุนี้ให้เป็นไปในอำนาจของเจ้าให้ได้เถิด. ตั้งแต่นั้นมา
นางก็ประดับกายพริ้วเพรา ยั่วยวนเธอด้วยกะบิดกระบวนสตรีต่างๆ. ก็ที่เรียก
นางสาวเทื้อนั้น ไม่พึงเห็นว่า มีร่างกายอ้วน จะอ้วนหรือผอมก็ตาม คงเรียกว่า

สาวเทื้อได้ เพราะหนาไปด้วยราคะประกอบด้วยกามคุณ 5 ประการ. ก็แลเธอ
ยังหนุ่ม ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส คิดว่า บัดนี้เราคงไม่อาจดำรงอยู่ใน
พระพุทธศาสนาได้ กล่าวว่า ฉันต้องไปวิหาร มอบบาตรและจีวรแล้ว จัก
ไปที่ตรงโน้น เธอจงส่งผ้าของฉันไปที่นั้น แล้วไปสู่วิหารมอบบาตรจีวร
กราบเรียนพระอาจารย์อุปัชฌาย์ว่า ผมจะสึกละครับ. ท่านเหล่านั้นพาเธอไป
สู่สำนักพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้จะสึกพระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่าเธอจะสึกจริงหรือ เมื่อกราบทูลให้
ทรงทราบว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า เหตุอะไรให้เธอสึก เมื่อเธอกราบทูล
ให้ทรงทราบว่า นางสาวเทื้อ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในครั้งก่อน
นางคนนี้ ก็เคยกระทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ ก่อความเสื่อมเสียอย่างมหันต์
แก่เธอผู้อยู่ในป่า เธอยังจะอาศัยนางนี้คนเดียวกันสึกเสียอีก เพราะเหตุไรเล่า
พวกภิกษุพากันกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมากในแคว้นกาสี เรียนศิลปะ
สำเร็จตั้งหลักฐาน. ลำดับนั้น ภรรยาของท่านคลอดบุตรคนหนึ่ง ได้ถึงแก่กรรม
ไป. ท่านได้คิดว่า ความตายมีได้แก่ภรรยาที่รักของเรา ฉันใด ความตายจัก
ต้องมาถึงเราฉันนั้น เราจะต้องการอะไรด้วยฆราวาส บวชเถอะน่ะ ละกาม
ทั้งหลาย พาลูกชายเข้าสู่หิมพานต์ บวชเป็นฤาษีกับลูกชายนั้น ยังฌานอภิญญา
ให้เกิด ได้มีเผือกมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ในราวป่า. ครั้งนั้น พวก
โจรชาวปัจจันตคาม เข้าสู่ชนบทปล้นบ้าน จับคนเป็นเชลย ให้ขนข้าวของ
เดินทางไปสู่ชายแดน. ในกลุ่มเชลยนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งงาม ประกอบด้วย
ปรีชาในเชิงล่อลวง. นางคิดว่า โจรเหล่านั้นจับพวกเราไป คงจักใช้สอยอย่าง

ใช้ทาส เราต้องหาอุบายอันหนึ่งหนีไปเสียให้ได้. นางจึงกล่าวว่า นายเจ้าข้า
ดิฉันประสงค์จะกระทำสรีรกิจ โปรดหยุดรอสักหน่อยเถิดเจ้าคะ แล้วลวงพวกโจร
หนีไป เมื่อท่องเที่ยวไปในป่า บรรลุถึงอาศรมในเวลาเช้า ตอนที่พระโพธิสัตว์
ให้ลูกชายเฝ้าอาศรมแล้วไปหาผลาผล จึงยั่วยวนดาบสเด็กนั้นด้วยการยินดีใน
กาม ทำลายศีลเขาเสีย ให้ตกอยู่ในอำนาจตนแล้ว กล่าวว่า เธอจะมาอยู่ในป่า
ทำอะไร มาเถิดนะ เราพากันไปสู่บ้าน เพราะในถิ่นบ้านนั้น กามคุณมีรูป
เป็นต้นหาได้ง่าย. ฝ่ายเขาก็รับคำว่าดี แล้วกล่าวว่า พ่อของฉันไปหาผลาผล
มาจากป่า เราทั้งสองพบท่านแล้ว ค่อยไปพร้อมกันเลย. นางคิดว่า
ดาบสนี้เป็นเด็กรุ่น ไม่รู้จักอะไร แต่บิดาของเขาคงบวชเมื่อแก่ เขามาแล้ว
คงโบยตีเราว่า มึงทำอะไรที่นี้ จักตีเราฉุดไปโยนทิ้งเสียในป่าก็ได้ เมื่อเขา
ยังไม่มานั่นแหละ เราต้องหนีไปเสีย. ครั้งนั้น นางจึงกล่าวกะเขาว่า ฉันจะ
ไปล่วงหน้า เธอพึงไปภายหลังนะ แล้วบอกที่หมายในหนทาง หลบไป. ตั้งแต่
กาลที่นางไปแล้ว เขาเกิดโทมนัส ไม่กระทำวัตรอะไรๆ เหมือนแต่ก่อน คลุม
ศีรษะซบเซาอยู่ภายในบรรณศาลา. พระมหาสัตว์นำผลาผลมาเห็นรอยเท้า
ของนาง คิดอยู่ว่า นี้เป็นรอยเท้าของมาตุคาม ศีลของลูกชายเราคงถูกทำลาย
แล้วเป็นแน่ พลางเข้าสู่บรรณศาลา วางผลาผลลงเรียบร้อย เมื่อจะถามลูกชาย
จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า
ฟืนเจ้าก็มิได้หัก น้ำเจ้าก็มิได้ตักมา แม้กองไฟ
เจ้าก็มิได้ก่อให้ลุกโพลง เหตุไรหนอ เจ้าจึงเหมือน
คนโง่เขลา นอนซบเซาอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺคิปิ เต น หาสิโต ความว่า ทั้ง
กองไฟเจ้าก็มิได้ก่อให้ลุกสว่าง. บทว่า มนฺโทว ความว่า เจ้าเป็นคนไม่มี
ปัญญา ซบเซาเหมือนคนโง่.

เขาได้ยินคำของบิดาแล้ว ลุกขึ้นกราบบิดา เมื่อจะเรียนให้ทราบเพื่อจะ
ไปสู่ที่อยู่ของมนุษย์ จากที่อยู่ในป่า ด้วยความเคารพ จึงกล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ข้าแต่คุณพ่อกัสสปะ ผมอดทนอยู่ในป่าไม่ได้
ผมจะขอลาคุณพ่อไป การอยู่ในป่าลำบาก ผมปรารถนา
จะไปสู่บ้านเมือง.
ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นดุจพรหม ผู้ออกจากป่านี้ไป
อยู่ ณ ชนบทใด ๆ จะพึงศึกษาขนบธรรมเนียมที่ชาว
ชนบทเขาประพฤติฉันอย่างไร ขอคุณพ่อจงพร่ำสอน
ขนบธรรมเนียมนั้นแก่ผมด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสฺสปามนฺตยานิ ตํ ความว่า ข้าแต่
คุณพ่อกัสสปะ ผมขอบอกกะคุณพ่อ. บทว่า คนฺตเว แปลว่า เพื่อจะไป.
บทว่า อาจารํ ความว่า ผมอยู่ในชนบทใด เมื่ออยู่ในชนบทนั้น ต้องศึกษา
ต้องทราบ ข้อที่ต้องประพฤติ คือ แบบธรรมเนียมของชนบทอย่างใด โปรด
สั่งสอน โปรดตักเตือนธรรมนั้นเถิด.
พระมหาสัตว์กล่าวว่า ดีละพ่อ ฉันแสดงจารีตของประเทศแก่เจ้า
แล้วกล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ถ้าเจ้าละป่า เหง้ามันและผลไม้ในป่า พึงพอใจอยู่
ในบ้านเมือง เจ้าจงสำเหนียกจารีตของชนบทนั้นของ
เราไว้.
เจ้าจงอย่าเสพของมีพิษ จงเว้นเหวโดยเด็ดขาด
อย่าจมอยู่ในเปือกตม ในที่ใกล้อสรพิษ จงเตรียมตัว
ให้พร้อม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ความว่า ถ้าเจ้าชอบใจอยู่ใน
แว่นแคว้น เจ้าจงสำเหนียกธรรมคือจารีตของชนบท. บทว่า ยตฺโต อาสีวิเส
ความว่า เจ้าพึงประพฤติสำรวม เตรียมพร้อมเที่ยวไปใกล้อสรพิษ เมื่ออาจ
ก็พึงเว้นอสรพิษเสียให้ห่างไกล.
ดาบสกุมารเมื่อไม่รู้เนื้อความของคำที่บิดากล่าวไว้โดยย่อ จึงถามว่า
ผมขอถาม คุณพ่อกล่าวอะไรว่าเป็นพิษ เป็นเหว
เป็นเปือกตม เป็นอสรพิษ ของพรหมจรรย์ ผมถาม
แล้ว คุณพ่อโปรดบอกความข้อนั้นแก่ผมเถิด
.
ฝ่ายดาบสโพธิสัตว์ ได้พยากรณ์แก่บุตรว่า
ดูก่อนนารทะ น้ำดองในโลกเขาเรียกว่า สุรา
สุรานั้น ทำใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม ทำให้พูดมาก
มีรสหวาน แหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะทั้งหลายกล่าว
สุรานั้น ว่าเป็นพิษของพรหมจรรย์.
ดูก่อนนารทะ หญิงทั้งหลายในโลก ย่อมย่ำยี
บุรุษผู้ประมาทแล้ว หญิงเหล่านั้น ย่อมจูงจิตของ
บุรุษไป เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไป ฉะนั้น
นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเหวของพรหมจรรย์.
ดูก่อนนารทะ ลาภ สรรเสริญ สักการะ และ
การบูชาในตระกูลอื่น นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเปือกตม
ของพรหมจรรย์.
ดูก่อนนารทะ พระราชาเป็นใหญ่ครอบครอง
แผ่นดินนี้ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้พระราชาผู้เป็นใหญ่ เป็น
จอมแห่งมนุษย์เช่นนั้น.

ดูก่อนนารทะ เจ้าอย่าเที่ยวไปใกล้บาทมูลแห่ง
พระราชาทั้งหลาย ผู้เป็นอิสระ และเป็นอธิบดีเหล่านั้น
พระราชานั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นอสรพิษของพรหม-
จรรย์.
บุคคลผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหาร พึงเข้าไป
ใกล้เรือนใด พึงรู้กุศล คืออโคจร 5 ที่ควรเว้นในสกุล
นั้นแล้วพึงเที่ยวแสวงหาอาหารในเรือนนั้น บุคคล
เข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะหรือโภชนะแล้วพึงรู้จัก
ประมาณบริโภคแต่พอควรและไม่พึงใส่ใจในรูปหญิง.
เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลซึ่งการตั้งคอกโค ร้านขาย
สุรา คนเกเร ที่ประชุมและขุมทรัพย์ทั้งหลาย เหมือน
บุคคลผู้ไปด้วยยาน เว้นหนทางอันไม่ราบเรียบฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสโว ได้แก่ยาพิษอันเป็นเช่นกับน้ำดอง
ดอกไม้เป็นต้น. บทว่า ตทาหุ ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสุรานั้นกล่าว
คือน้ำดองว่าเป็นพิษแห่งพรหมจรรย์. บทว่า ปมตฺตํ ได้แก่ ผู้มีสติหลงลืม.
บทว่า ตูลภฏฺฐํว ความว่า เปรียบดังปุยนุ่นที่ถูกลมพัดจากต้นร่วงลงมา.
บทว่า อกฺขาโต แปลว่า อันบัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นตรัสแล้ว. บทว่า
สิโลโก ได้แก่ เกียรติคุณ. บทว่า สกฺกาโร ได้แก่ กรรมมีอัญชลีกรรม
เป็นต้น. บทว่า ปูชา ได้แก่ การบูชาด้วยสักการะมีของหอมและระเบียบ
ดอกไม้เป็นต้น. บทว่า ปงฺโก ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวเปือกตม
เพราะอรรถว่า ทำให้จมลง. บทว่า มหนฺเต แปลว่า ถึงความเป็นผู้มีอานุภาพ
มาก. บทว่า น เตสํ ปาทโต จเร ความว่า ไม่พึงเที่ยวไปใกล้พระบาท
ของพระราชาเหล่านั้น คือไม่พึงเข้าถึงราชสกุล. จริงอยู่ พระราชาทั้งหลายทรง

กริ้วแล้ว ย่อมให้ถึงความวอดวายโดยครู่เดียวเท่านั้น เหมือนอสรพิษ
ฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบความด้วยอำนาจโทษดังกล่าวแล้วใน
การเข้าไปภายในพระราชวัง. บทว่า ภตฺตตฺโถ ความว่า เป็นผู้มีความต้องการ
ด้วยภัต. บทว่า ยนฺเตตฺถ กุสลํ ความว่า ในบรรดาเรือนที่เจ้าพึงเข้าไป
เรือนใดเป็นกุศล คือ ไม่มีโทษ เจ้าพึงรู้เรือนที่เว้นจากอโคจร 5 ประการ
พึงเที่ยวแสวงหาอาหารในเรือนนั้น. บทว่า น จ รูเป มนํ กเร ความว่า
เจ้าพึงเป็นผู้รู้จักประมาณในตระกูล แม้เมื่อบริโภคเล่าก็อย่าไว้วางใจในรูปสตรี
ในตระกูลนั้น อย่าลืมตายึดเอานิมิตในรูปหญิง. บาลีในคัมภีร์ทั้งหลายว่า
คุฏฺฐํ มชฺชํ กิราสญฺจ ดังนี้ แต่ในอรรถกถา ท่านกล่าว โคฏฺฐํ มชฺชํ
กิราสญฺจ
แล้วกล่าวว่า บทว่า โคฏฺฐํ ได้แก่ ที่โคทั้งหลายพักอยู่. บทว่า
มชฺชํ ได้แก่ โรงสุรา. บทว่า กิราสํ ได้แก่ คนผู้เป็นนักเลง และคนเกเร.
บทว่า สภาธิกรณานิ จ ได้แก่ ที่ประชุม ที่ขุมทรัพย์ แห่งเงินและทอง.
บทว่า อารกา ความว่าเจ้าพึงเว้นสิ่งทั้งหมดนั้นเสียให้ห่างไกล. บทว่า ยานีว
ความว่าเหมือนบุคคลมียานอันเต็มด้วยเนยใสและน้ำมันไปสู่หนทางอันราบเรียบ
ฉะนั้น.
เมื่อบิดากำลังกล่าวสอนอยู่นั้นเอง มาณพกลับได้สติกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ
ข้าพเจ้าไม่ควรไปแดนมนุษย์ ลำดับนั้น บิดาได้สอนวิธีเจริญเมตตาเป็นต้น
แก่ดาบสกุมาร ๆ ตั้งอยู่ในโอวาทของบิดา ยังฌานและอภิญญาให้บังเกิด โดย
ไม่นานนัก สองดาบสพ่อลูก มิได้เสื่อมจากฌาน ได้บังเกิดในพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า นางกุมาริกา นี้ ได้มาเป็นนางสาวเทื้อนี้ ดาบสกุมารได้เป็น
ภิกษุผู้กระสัน ส่วนดาบสบิดา คือเราตถาคตนั่นเองแล.
จบอรรถกถาจุลลนารทกัสสปชาดก

5. ทูตชาดก



ว่าด้วยการบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก


[1777] ดูก่อนพราหมณ์ เราส่งทูตทั้งหลายมา
เพื่อท่านผู้เพ่งอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา ทูตเหล่านั้นถาม
ท่าน ท่านก็มิได้บอกให้แจ่มแจ้ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แก่ท่านนั้น เป็นความตายของท่านมิใช่หรือ.

[1778] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงรัฐกาสีให้
เจริญ ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นแก่พระองค์ ผู้ใดไม่พึง
เปลื้องพระองค์จากทุกข์ได้ พระองค์อย่าได้ตรัสบอก
ความทุกข์นั้นแก่ผู้นั้น.

[1779] ผู้ใดพึงเปลื้องทุกข์ของบุคคลผู้เกิด-
ทุกข์ได้ส่วนเดียวโดยธรรม พึงบอกเล่าแก่ผู้นั้นได้
โดยแท้.

[ 1780] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอก
ก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่ง
กว่านั้น.

[1781] อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นผู้ใจดี คนทั้ง-
หลายนับถือว่าเป็นญาติ เป็นมิตรหรือเป็นสหาย ภาย
หลังผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้
ยากอย่างนี้.